วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

มัลดีฟส์ ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไป (1)

มัลดีฟส์ ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไป



    เชื่อเถอะครับว่า “มัลดีฟส์” คือจุดหมายหนึ่งของนักเดินทางที่หลงรักทะเล เพราะหลายต่อหลายสื่อ หลายต่อหลายคน มักพูดว่า ต้องขอไปมัลดีฟส์ให้ได้ก่อนตาย จากภาพที่ถูกถ่ายทอดออกมาสู่สายตาเรา ต้องยอมรับว่า มัลดีฟส์สวยมากจริงๆ



    ครั้งนี้เป็นโอกาสของผมที่จะได้เดินทางไปยังแห่งที่ใครต่อใครฝันว่าจะได้ไป และทริปนี้ 4วัน3คืน แบบเต็มอิ่มแน่นอน

    การเดินทางของผมเริ่มต้นตั้งแต่การเดินทางออกจากที่พัก 7โมงเช้า เพื่อหนีรถติดและมุ่งหน้าตรงสู่ “ท่าอากาศยานนานานชาติสุวรรณภูมิ” ทำการเช็คอินโหลดกระเป๋าเดินทางด้วยสายการบิน “บางกอกแอร์เวย์” ต้องยอมรับครับว่าก่อนที่จะจองตั๋วเครื่องบินก็คิดอยู่นานเช่นกันว่าจะเดินทางด้วยสายการบินอะไรดี เพราะว่ายังมีสายการบิน “ศรีลังกาแอร์ไลน์” อีกหนึ่งสายการบิน ที่ราคาตั๋วถูกกว่ากันมากแต่ใช้เวลาเดินทางเยอะกว่าและต้องต่อเครื่อง สุดท้ายไม่อยากนั่งเครื่องนานก็เลยเดินทางด้วยบางกอกแอร์เวย์



หลังจากเช็คอินที่เค้าเตอร์เป็นที่เรียบร้อย ก็เข้าสู่ขั้นตอนการตรวจคนออกเมือง ซึ่งก่อนมาถึงตรงนี้จะต้องผ่านเจ้าหน้าที่ ที่ขอดูบัตรโดยสารเครื่องบินและพาสปอร์ตก่อน ตามด้วยการสแกนวัตถุอันตราย 

การตรวจคนขาออกของประเทศไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีช่องสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ มีทั้งระบบอิเล็กโทรนิคและแบบเจ้าหน้าที่ตรวจ ทำให้การตรวจคนออกเมืองค่อนข้างเร็วและอีกอย่างการเดินทางในช่วงเวลา ประมาณ 8-9 โมงคนไม่ค่อยมากเลยสบายๆมีเวลาในสนามบินอีกมาก

เมื่อผ่านทุกขั้นตอนเรียบร้อยก็เดินตรงมุ่งหน้าไปที่ Lounge ของบางกอกแอร์เวย์(Boutique Lounge) หาขนมว่าง ชากาแฟรองท้องเบาๆ ก่อนเข้าใช้บริการต้องแสดงบัตรโดยสารของสายการบินด้วยซึ่งพนักงานก็จะให้ Password Internet มาด้วยเช่นกัน 




ด้านในมีหลายอย่างทั้งบราวนี่ ขนมปัง แซนวิช หรือของขึ้นชื่อที่ล่ำลือว่าอร่อยมาก อย่างข้าวต้มมัด มุมกาแฟมีให้เลือกทั้งแบบ 3in1หรือแบบกาแฟสด รวมถึงน้ำผลไม้ น้ำเปล่า เลยลองชิมอย่างละชิ้นสองชิน



เมื่อได้เวลาก็เดินไปที่ Gate เพื่อรอเรียกขึ้นเครื่อง จุดนี้มีการตรวจเช็คผู้โดยสารอีกครั้งด้วยการขอดูหนังสือเดินทางและตั๋วเครื่องบิน
    เครื่องบินที่พาผมเดินทางไปยังสนามบิน “อิบราฮิม นาเซอร์” เป็นเครื่องบินลำขนาดกลางๆไม่ใหญ่ มีที่นั้งแถวละ 6คน ฝั่งละ 3ที่นั่ง มีที่ให้พอยืดขากับการบินประมาณ 3ชั่วโมงครึ่ง




    เมื่อเครื่องขึ้นสู่เพดานบิน พนักงานก็เริ่มต้นด้วยการแจกขนมกรุบกรอบ ตามด้วยเครื่องดื่ม ที่มีพร้อม ชากาแฟ น้ำอัดลม แอลกอฮอล์ และอาหาร ซึ่งที่ชอบมากคือ การให้ช้อนที่เป็นโลหะ ต่างจากบางสายการบินที่เป็นช้อนพลาสติก และในส่วนของเครื่องดื่มสามารถรับบริการได้ตลอดเส้นทาง



    เมื่อใกล้ถึง “สนามบินอิบราฮิม นาเซอร์” ก็ต้องขอเปิดหน้าต่างดูสักนิดและสมใจกับวิวที่ได้เห็น หมู่เกาะมากมายที่รายล้อมท่ามกลางทะเล เป็นสีฟ้าอ่อนสวยงาม



    เมื่อเครื่องลงถึง “ท่าอากาศยานนานาชาติ อิบราฮิม นาเซอร์” ที่รู้จักในนามของ “ท่าอากาศยานนานาชาติมาเล” เป็นท่าอากาศยานหลัก ของ ประเทศมัลดีฟส์  ตั้งอยู่บน เกาะฮุลฮูเลล ทางตอนเหนือของ อะทอลล์มาเลใกล้กับเมืองหลวง กรุงมาเล  เป็นสนามบินที่ขนาดไม่ใหญ่แต่ติดกับทะเลเพราะเป็นเกาะและยังสามารถมองเห็นเมืองมาเลได้

    สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ห้ามนำเข้าประเทศมัลดีฟส์โดยเด็ดขาดคือ อาหารที่ทำจากหมูเพราะประชากรแทบจะทั้งหมดของมัลดีฟส์นับถือศาสนาอิสลาม


    หลังจากที่รับกระเป๋าเดินทางเป็นที่เรียบร้อยก็เดินออกจากห้องผู้โดยสาร ระหว่างทางออกจะมีโรงแรมรีสอร์ทมายืนถือป้ายเพื่อรอรับแขกที่ได้ทำการจองห้องพักไว้และผมก็เจอ “คลับเมดคานิ” เลยเเสดงตัวให้รู้ว่าเรามาแล้วและขอตัวไปซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์เพื่อไม่ให้พลาดการติดต่อบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีผู้ให้บริการอยู่ด้านหน้าสนามบิน



    ซิมการ์ดโทรศัพท์แบ่งตามประเภทว่าใช้กับโทรศัพท์หรือใช้กับโน้ตบุ๊ค ราคาอยู่ที่ประมาณ 11 US ขึ้นอยู่กับปริมาณการรับส่งข้อมูลที่เราต้องการของบริการ 3G แต่จะมีค่าซิมการ์ดอีก 3 US รวมเป็น  ส่วนของผมหมดเงินค่าซิมการ์ดไปทั้งหมด 14 US เมื่อเปลี่ยนซิมเสร็จก็เริ่มสู่ระบบโซเชียลมีเดียร์ตามปรกติ

    หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยได้ใช้อินเตอร์เน็ตสมใจก็ไปจุดนัดหมายของคลับเมด เจ้าหน้าที่ก็ทำการเช็คชื่อผูกแท็กกระเป๋าหมายเลขห้อง และผูกข้อมือด้วยริบบิ้นสีม่วงมีโลโก้คลับเมด ซึ่งผู้เฉพาะคนที่พัก “lagoon suite” เท่านั้น



    จากนั้นทำการเขียนชื่อ ข้อมูลลงทะเบียนในแบบฟอร์ม การติดต่อเพราะก่อนหน้านี้ยังไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกของคลับเมด เพื่อหลังจากที่เรากลับจะมีการส่งเมลล์ข้อมูลมาสอบถามถึงความพึงพอใจอีกครั้งพร้อมส่งข้อมูลโปรโมชั่นของคลับเมดในแต่ละที่มาให้เราด้วยเช่นกัน

เมื่อทุกคนพร้อมก็ลากกระเป๋าไปที่เรือซึ่งอยู่ไม่ไกล ประมาณ 50เมตร แค่เห็นน้ำที่ท่าเรือก็ต้องอมยิ้มเพราะว่าน้ำใสมาก เรือที่ผมต้องนั่งไปคลับเมดคานิ ด้านหน้าจะกันน้ำอย่างมิดชิด ทีแรกก็สงสัยว่าเพราะอะไรถึงปิดขนาดนั้น แต่พอเรือออกได้ไม่เกิน 5นาทีก็เข้าใจ เพราะว่าคลื่นแรงมาก หัวเรือแหวกน้ำกระเซ็นสาดผ่าเกลียวคลื่นเรือเหินทะยานแต่ก็สนุกดี เพราะในประเทศไทยไม่ค่อยได้เจอคลื่นแบบนี้ 





ติดตามตอนต่อไปเร็วๆนี้ครับ

ติดตามความเคลื่นไหว www.facebook.com/alonetravel
หรือ #meesookde

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น